อำนาจของผู้เสียหายในการดำเนินคดีอาญา
ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 ( 4 ) ให้คำนิยามของคำว่า "ผู้เสียหาย" หมายถึง ผู้ที่ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดจากทางอาญาในฐานใดฐานหนึ่ง รวมถึงผู้มีอำนาจจัดการแทน ดังได้บัญญัติไว้ใน มาตรา 4 , 5 และ 6
ดังนั้น ผู้เสียหาย จึงมีความหมายกว้าง และสามารถพอสรุปได้อย่างสังเขป ตามแนวคำพิพากษาของศาลฎีกา ดังนี้
1. เมื่อมีการกระทำผิดอาญา ในฐานในฐานหนึ่งเกิดขึ้น
2. บุคคลนั้นได้รับความเสียหาย จากการกระทำความผิดทางอาญาดังกล่าวนั้น
3. บุคคลนั้น ต้องเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย
คำว่า "ผู้เสียหาย" หมายถึง ผู้ที่ไม่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาทั้งในทางตรง ในลักษณะตัวการตามมาตรา 83 , ในลักษณะผู้ใช้ตามมาตรา 84 และในลักษณะผู้สนับสนุนตามมาตรา 86 ของ ประมวลกฎหมายอาญา ตลอดจนไม่ใช่ผู้กระทำความผิดในทางอ้อม เช่น การหลอกใช้ให้ผู้กระทำความผิดได้กระทำความผิดแต่อย่างใด
ผู้เสียหายมี 2 ประเภท คือ 1. ผู้เสียหายที่แท้จริง
2. ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายที่แท้จริง (ม.4, 5, 6)
ผู้เสียหายที่แท้จริง คือ ผู้ที่ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดจากทางอาญาในฐานใดฐานหนึ่ง
ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายที่แท้จริง ตามมาตรา 4 , 5 และ 6
ตามมาตรา 3 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ผู้มีอำนาจจัดการแทน ตามมาตรา 4 , 5 และ 6 มีอำนาจการจัดการแทนผู้เสียหาย คือ
1. ร้องทุกข์
2. เป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญา หรือเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ
3. เป็นโจทก์ฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา
4. ถอนฟ้องคดีอาญา หรือ คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา
5. ยอมความในความผิดต่อส่วนตัว
ตามมาตรา 4 วรรค 1 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามีสาระสำคัญกล่าวคือ ในคดีอาญาผู้เสียหายเป็นหญิงมีสามี ( จดทะเบียนสมรส ) หญิงมีสามีนั้นสามารถมีสิทธิฟ้องคดีได้เองโดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากสามีก่อน ( คู่สมรสต้องจดทะเบียนสมรสที่ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น )
ตามมาตรา 4 วรรค 2 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามีสาระสำคัญกล่าวคือ สามีมีสิทธิฟ้องคดีอาญาแทนภริยาได้แต่ต้องได้รับอนุญาตโดยชัดแจ้งจากภริยาก่อน ( การอนุญาตโดยชัดแจ้ง คือ การอนุญาตโดยจะเป็นทางวาจา หรือ ทางหนังสือก็ได้ )
ตามมาตรา 5 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามีสาระสำคัญกล่าวคือ ผู้มีอำนาจจดการแทนผู้เสียหาย ตามมาตรา 5 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาแบ่งออกเป็น 3 กรณี คือ
1. ผู้เสียหายโดยชอบธรรม หรือ ผู้อนุบาล เฉพาะแต่ความผิดซึ่งได้กระทำต่อผู้เยาว์ หรือ ผู้ไร้ความสามารถซึ่งอยู่ในความดูแล ( มาตรา 5 , 6 แห่ง ป.วิ.อาญา )
- ผู้เยาว์ -สามารถร้องทุกข์ หรือ ถอนคำร้องทุกข์ด้วยตนเองได้ เพราะไม่ใช่เป็นการทำนิติกรรม แต่ไม่สามารถฟ้องคดีด้วยตนเองต่อศาล หรือ ถอนฟ้องคดีด้วยตนเองต่อศาลได้ เพราะ การฟ้องคดี หรือ การถอนฟ้องคดีนั้นเป็นการทำนิติกรรม
- ผู้เยาว์ - สามารถร้องทุกข์ในความผิดต่อส่วนตัวแล้วผู้แทนโดยชอบธรรมจะถอนคำร้องทุกข์ให้ขัดกับความประสงค์ของผู้เยาว์ไม่ได้
- ผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์ - ตามมาตรา 5 (1) ได้แก่บิดา มารดา ( บิดา มารดา ต้องเป็นบิดา มารดาที่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ใช่ถือตามหลักสายโลหิต )
2. บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีภริยา เฉพาะแต่ในความผิดทางอาญาซึ่งผู้เสียหายถูกทำร้ายถึงแก่ความตาย หรือบาดเจ็บ จนไม่สามารถจัดการเองได้ ( ตาม มาตรา 5 ( 2 ))
- บุพการี ตามมาตรา 5 (2) ต้องถือตามความเป็นจริง
- ผู้สืบสันดาน ตามมาตรา 5 (2) ต้องถือตามความเป็นจริง
- สามี / ภริยา ตามมาตรา 5 (2) ต้องจดทะเบียนสมรสเท่านั้น
หมายเหตุ 1. ผู้เสียหายที่แท้จริงไม่ใช่เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยแล้วผู้เป็นบุพการี ผู้สืบสันดาน สามี / ภริยา ก็ไม่มีอำนาจจัดการแทนได้เช่นกัน
2. การจัดการแทน ตามมาตรา 5 (2) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาจะต้องยืนยันว่าผู้เสียหายโดยนิตินัยได้ตายไป หรือ ได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้
3. ผู้จัดการ หรือ ผู้แทนอื่น ๆ ของนิติบุคคล มีอำนาจจัดการแทนนิติบุคคล ในความผิดทางอาญาที่ได้กระทำความผิดต่อนิติบุคคลนั้น แต่ถ้าผู้จัดการ หรือผู้แทนนิติบุคคล ได้กระทำความผิดทางอาญาต่อนิติบุคคลนั้นเสียเอง ดังนั้น ให้กรรมการผู้ใดผู้หนึ่ง หรือ ผู้ถือหุ้นส่วน หรือ ผู้เป็นหุ้นส่วน ที่ได้รับความเสียหาย มีอำนาจฟ้องผู้จัดการ หรือ หุ้นส่วนผู้จัดการนั้นได้
สิทธิในการดำเนินคดีอาญา ของผู้เสียหาย
1. ผู้เสียหายยังมีชีวิตอยู่
1.1 ผู้เสียหายมีอำนาจดำเนินคดีอาญาเองได้
1.2 ผู้เสียหาย มีอำนาจให้ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 4 , 5 และ 6 จัดการแทน
- ผู้เสียหาย ได้รับความเสียหายทางอาญาที่ไม่ใช่เป็นการถูกทำร้ายถึงแก่ความตาย หรือ บาดเจ็บจนดำเนินการอะไรไม่ได้ แต่ยังไม่ได้ร้องทุกข์ หรือ ฟ้องคดีต่อศาล ต่อมา ผู้เสียหายถึงแก่ความตายไป ดังนั้นทายาทไม่มีสิทธิในการดำเนินคดีอาญา เนื่องจากความผิดเกิดก่อนที่ผู้เสียหายตายไป
2. ผู้เสียหายถึงแก่ความตาย
- ความผิดทางอาญาได้เกิดก่อนแล้ว ต่อมาผู้เสียหายได้ฟ้องต่อศาลแล้วได้เสียชีวิตในภายหลัง ดังนั้นทายาทตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 29 จะดำเนินคดีต่อไปก็ได้ หรือ ไม่ดำเนินคดีก็ได้
- ความผิดทางอาญาได้เกิดก่อนแล้ว ต่อมาผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน แล้วได้เสียชีวิตในภายหลัง ดังนั้นพนักงานสอบสวนได้สอบสวนโดยชอบแล้ว และ พนักงานอัยการมีอำนาจฟ้องผู้ต้องหาต่อศาลได้
- ความผิดทางอาญาโดยทั่วไปได้เกิดก่อนแล้ว ผู้เสียหายยังไม่ได้ร้องทุกข์ ต่อมาผู้เสียหายได้เสียชีวิตในภายหลัง ดังนั้นทายาทไม่มีอำนาจที่จะฟ้องคดี หรือ ร้องทุกข์ได้
- ความผิดทางอาญา ฐานหมิ่นประมาท ( ไม่ใช่ดูหมิ่นซึ่งหน้า ) ได้เกิดขึ้น ต่อมาผู้เสียหายได้เสียชีวิตในภายหลัง และยังไม่ได้ร้องทุกข์ หรือฟ้องคดีต่อศาลแต่อย่างใด ดังนั้น ให้บิดา มารดา คู่สมรส หรือ บุตร มีอำนาจร้องทุกข์ หรือ ฟ้องคดีต่อศาลได้ ตาม ปะมวลกฎหมายอาญา มาตรา 333 วรรค 2 ( เพราะถือว่าเป็นผู้เสียหาย โดยนิตินัย )
- ความผิดทางอาญาที่เกี่ยวกับทรัพย์ ที่เกิดขึ้นภายหลังที่เจ้าของทรัพย์ ได้เสียชีวิตลง ดังนั้นทายาททุกคนเป็นผู้เสียหาย เนื่องจากทายาทุกคนเป็นผู้รับมรดกในทรัพย์ของเจ้าทรัพย์ที่เสียชีวิตนั้น
- ความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 327 หมิ่นประมาทคนที่ตายไปแล้ว น่าจะเป็นเหตุให้บิดา มารดา คู่สมรส บุตร ของผู้ตาย เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ดังนั้น บิดา มารดา คู่สมรส บุตร เป็นผู้เสียหายโดยตรง
การตั้งผู้แทนเฉพาะคดี (ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 6 )
การตั้งผู้แทนเฉพาะคดีได้ จะต้องร้องขอต่อศาล เมื่อมีเหตุดังนี้
กรณีที่ 1 ผู้เยาว์ เป็นผู้เสียหาย และผู้เยาว์ มีเหตุดังนี้
1.1 ผู้เยาว์ ไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรม
1.2 ผู้เยาว์ มีผู้แทนโดยชอบธรรม แต่ไม่สามารถทำหน้าที่ได้
1.3 ผู้เยาว์ กับผู้แทนโดยชอบธรรม มีผลประโยชน์ขัดกัน
กรณีที่ 2 ผู้วิกลจริต หรือ ผู้ไร้ความสามารถ เป็นผู้เสียหายมีเหตุดังนี้
2.1 ผู้วิกลจริต หรือ ผู้ไร้ความสามารถไม่มีผู้อนุบาล
2.2 ผู้อนุบาล ไม่สามารถทำหน้าที่แทนผู้แทนเฉพาะคดีได้
2.3 ผู้วิกลจริต หรือ ผู้ไร้ความสามารถ มีผลประโยชน์ขัดกันกับผู้อนุบาล
ผู้มีสิทธิร้องขอต่อศาล ในการตั้งผู้แทนเฉพาะคดี คือ
1. ญาติของผู้เสียหาย
2. ผู้มีผลประโยชน์เกี่ยวของกับผู้เสียหาย
- การขอตั้งผู้แทนเฉพาะคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 6 ต้องเป็นกรณีที่ผู้เยาว์ หรือ ผู้วิกลจริต หรือ ผู้ไร้ความสามารถ เป็นผู้เสียหาย และยังมีชีวิตอยู่ มิฉะนั้นจะตั้งผู้แทนเฉพาะคดีไม่ได้
- ผู้แทนเฉพาะคดี ที่จะฟ้องคดีอาญาแทนผู้เสียหาย ก็ต่อเมื่อศาลได้ตั้งผู้แทนเฉพาะคดี ตามมาตรา 6 แห่ง ป.วิ.อาญา แล้ว และ คำสั่งศาลที่สั่งตั้งผู้แทนเฉพาะคดีนั้นถือว่าเป็นที่สุด
- กรณีที่ผู้แทนเฉพาะคดี ที่ศาลตั้งไว้ ได้ร้องทุกข์ หรือ ฟ้องคดีอาญาต่อศาลแล้ว และเสียชีวิตในภายหลัง ดังนั้น ทายาทของผู้แทนเฉพาะคดี สามารถดำเนินคดีอาญาต่อไปได้ ( ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 29 )
- แต่ถ้าผู้เสียหาย โดยนิตินัย ได้เสียชีวิตก่อนที่ศาลจะตั้งผู้แทนเฉพาะคดี ดังนั้น ผู้แทนเฉพาะคดีที่ศาลยังไม่ได้สั่งตั้ง นั้น ไม่มีอำนาจจะฟ้อง หรือ ร้องทุกข์ แทนผู้เสียหายได้
- กรณีที่ผู้แทนเฉพาะคดี ( ขณะที่ศาลยังไม่ได้แต่งตั้ง ) ได้ฟ้องคดีต่อศาล แล้ว โดยขณะที่ฟ้องนั้น ศาลยังไม่ได้ตั้งเป็นผู้แทนเฉพาะคดี หรืออยู่ในระหว่างการไต่สวนการแต่งตั้งนั้น ต่อศาลได้มีคำสั่งประทับรับฟ้อง ในคดีอาญาที่ฟ้องนั้น ถือได้ว่าศาลมีคำสั่งแต่งตั้งเป็นผู้แทนเฉพาะคดีโดยปริยาย
ดังนั้นอำนาจของผู้เสียหายในการดำเนินคดีอาญาสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
อำนาจฟ้องคดีอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 28 (2)
อำนาจในการร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 2 (7)
การฟ้องคดีอาญาโดยผู้เสียหาย
การฟ้องคดีอาญา นั้นเป็นการฟ้องบุคคลต่อศาลว่าได้มีการกระทำผิดอาญาฐานใดฐานหนึ่งหรือหลายฐาน หรือกระทำการอันจะก่อเหตุร้ายหรือไม่ปลอดภัยแก่ประชาชน และผู้ที่ฟ้องนั้นมีเจตนาที่จะให้ศาลลงโทษหรือใช้วิธีการเพื่อความปลอดภัยแก่ผู้ถูกฟ้องกล่าวหานั้น
ขั้นตอนการฟ้องคดี
การฟ้องคดีต้องเขียนหรือฟ้องเป็นหนังสือและต้องบรรยายให้เห็นว่าผู้กระทำความผิดที่ผู้เสียหายฟ้องนั้นทำผิดกฎหมายอย่างไร ที่ใด เมื่อไร เซ็นชื่อเป็นโจทก์ฟ้อง และจะต้องยื่นฟ้องต่อศาลที่ความผิดเกิด ซึ่งถ้าเป็นคดีมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท ต้องยื่นฟ้องต่อศาลแขวง หากเกินกว่านั้นต้องไปฟ้องที่ศาลจังหวัดหรือศาลอาญาแล้วแต่กรณี ถ้าไปฟ้องผิดศาลหรือเขียนหรือพิมพ์ฟ้องไม่ถูกต้อง ศาลอาจไม่รับฟ้องเสียก็ได้ ซึ่งในคดีที่ผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้อง ศาลต้องทำการไต่สวนมูลฟ้องเสียก่อน เมื่อศาลเห็นว่าคดีมีมูล จึงจะประทับรับฟ้องไว้พิจารณาต่อไป และหากความผิดที่จะฟ้องเองเป็นความผิดที่ยอมความได้และไม่ได้ร้องทุกข์ไว้จะต้องฟ้องผู้กระทำผิดภายใน 3 เดือนนับแต่วันที่รู้ว่ามีการกระทำความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด
อำนาจในการฟ้องคดีของผู้เสียหาย
ตามประมวลกฎหมายวีพิจารณาความอาญามาตรา 28 (2) ให้อำนาจผู้เสียหายมีสิทธิฟ้องคดีอาญาได้
ผู้เสียหายตามมาตรา 28 (2) นี้ หมายความรวมถึง ผู้มีอำนาจจัดการแทนตามมาตรา 4 , 5 และ 6 ด้วย
กรณีผู้เสียหายยื่นฟ้องแล้วตายลง
เมื่อผู้เสียหายที่แท้จริงยื่นฟ้องแล้วตายลง ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยา สามารถจะดำเนินคดีนั้นต่างผู้ตายต่อไปก็ได้ (มาตรา 29 วรรคแรก)
ถ้าผู้เสียหายที่ตายนั้นเป็นผู้เยาว์ ผู้วิกลจริต หรือ ผู้ไร้ความสามารถซึ่งผู้แทนโดยชอบธรรม ผู้อนุบาล หรือผู้แทนเฉพาะคดีได้ยื่นฟ้องแทนไว้แล้ว ผู้ที่ฟ้องแทนนั้น จะว่าคดีนั้นต่อไปก็ได้ (มาตรา 29 วรรค 2)
กรณีพนักงานอัยการและผู้เสียหายเป็นโจทก์ร่วมกัน
เมื่อกฎหมายให้อำนาจพนักงานอัยการ และผู้เสียหายในการฟ้องคดีร่วมกัน ดังนั้นแต่ละฝ่ายจึงมีสิทธิที่จะดำเนินคดีของตนได้ตามลำฟัง แต่เพื่อความสะดวกกฎหมายยังอนุญาตให้ทั้งสองฝ่าย เข้าเป็นโจทก์ ร่วมกันได้โดยไม่ต้องแยกฟ้อง เป็น 2 คดี ฉะนั้นแล้ว
คดีใดที่พนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลไว้ก่อนแล้ว ผู้เสียหายจะยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมในระยะเวลาใดระหว่างพิจารณาก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนั้นก็ได้ (ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 30) กรณีเช่นนี้หมายถึง ผู้เสียหายยื่นคำร้องต่อศาลขอเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมด้วย โดยไม่ต้องยื่นคำฟ้องของตนเองต่างหาก โดยอาศัยคำฟ้องของพนักงานอัยการเป็นคำฟ้องของตนเองด้วย ผลจึงมีว่า
(1) ผู้เสียหายที่เข้ามาเป็นโจทก์ร่วมนี้จะขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องเดิมของพนักงานอัยการไม่ได้ ( ฎีกาที่ 1833/2525)
(2) ถ้าคำฟ้องของพนักงานอัยการบกพร่อง เป็นเหตุให้ศาลยกฟ้องหรือลงโทษจำเลยเบาไป ผู้เสียหายที่เข้าไปเป็นโจทก์ร่วมต้องรับผลแห่งความบกพร่องนั้นด้วย ( ฎีกาที่ 1583/2513 )
(3) เมื่อศาลอนุญาตให้ผู้เสียหายเข้าเป็นโจทก์ร่วมแล้ว ผู้เสียหายหมดอำนาจที่จะไปยื่นฟ้องคดีของตนในเรื่องเดียวกันนั้นเป็นคดีหนึ่งต่างหาก ( ฎีกา 728/2494 )
(4) การที่ผู้เสียหายเป็นโจทก์ร่วม ทำให้โจทก์ร่วมได้รับสิทธิประโยชน์บางประการพี่พนักงานอัยการได้รับ
คดีอาญาที่ไม่ใช่ความผิดต่อส่วนตัว ซึ่งผู้เสียหายฟ้องแล้วพนักงานอัยการจะยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมในระยะใดก่อนคดีเสร็จเด็ดขาดก็ได้ (มาตรา 31)
การถอนฟ้องคดีอาญา
1 การที่โจทก์ฟ้องก็เนื่องจากประสงค์จะให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามความผิดที่กล่าวหา และภายหลังจากโจทก์ยื่นฟ้องแล้วอาจมีเหตุพฤติการณ์บางอย่างเกิดขึ้นแก่คดีของโจทก์ หรือมีเหตุอื่นที่ทำให้โจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป ดังนี้นั้นโจทก์อาจกระทำได้โดยการ ถอนฟ้อง
กระบวนพิจารณาในการถอนฟ้อง
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 35 คำร้องขอถอนฟ้องคดีอาญาจะยื่นเวลาใดก่อนมีคำพิพากษาของศาลขั้นต้นก็ได้ แล้วแต่ศาลจะเห็นสมควรประการใด ถ้าคำร้องนั้นได้ยื่นในภายหลังเมื่อจำเลยให้การแก้คดีแล้ว ให้ถามจำเลยว่าจะคิดค้านหรือไม่ แล้วให้ศาลจดคำแถลงของจำเลยไว้ ในกรณีที่จำเลยค้านการถอนฟ้อง ให้ศาลยกคำร้องขอถอนฟ้องนั้นเสีย
คดีความผิดต่อส่วนตัวนั้น จะถอนฟ้องหรือยอมความในเวลาก่อนคดีถึงที่สุดก็ได้ แต่ถ้าจำเลยคัดค้าน ให้ศาลยกคำร้องขอถอนฟ้องนั้นเสีย
แยกพิจารณาได้ดังนี้
ความผิดต่อแผ่นดิน
คำร้องขอถอนฟ้องยื่นได้ ก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา และอาจยื่นก่อนหรือหลังที่จำเลยให้การ
ถ้ายื่นก่อนจำเลยให้การ ศาลไม่ต้องถามจำเลยว่าจะคัดค้านหรือไม่ และศาลจะอนุญาตให้ถอนฟ้องหรือไม่อนุญาตให้ถอนฟ้องก็ได้
ถ้ายื่นภายหลังที่จำเลยให้การแล้ว ศาลต้องถามจำเลยว่าจะคิดค้านหรือไม่ ถ้าจำเลยคัดค้านก็ให้ศาลยกคำร้องขอถอนฟ้อง ถ้าจำเลยไม่คัดค้านศาลจะอนุญาตหรือไม่อนุญาตก็ได้ (ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 35 วรรคแรก)
ความผิดต่อส่วนตัว
คำร้องขอถอนฟ้องจะยื่นต่อศาลในเวลาใดก็ได้ก่อนคดีถึงที่สุด
ผลการถอนฟ้องคดีอาญา
ผลของการถอนฟ้องก็คือ เมื่อถอนฟ้องไปแล้วจะนำมาฟ้องอีกไม่ได้ เว้นแต่กรณีความผิดอาญาแผ่นดิน หากพนักงานอัยการ ผู้เสียหายก็ดีได้ถอนฟ้อง ไม่เป็นการตัดสิทธิอีกฝ่ายที่จะนำคดีมาฟ้อง ส่วนกรณีความผิดต่อส่วนตัว หารผู้เสียหายถอนฟ้องพนักงานอัยการจะมาฟ้องใหม่ไม่ได้ แต่หากว่าพนักงานอัยการเป็นผู้ฟ้องแล้วถอนฟ้องโดยมิได้รับความยินยอมจากผู้เสียหาย การถอนฟ้องนั้นไม่ตัดสิทธิ์ผู้เสียหายที่จะยื่นฟ้องคดีนั้นใหม่
กรณีมีการถอนฟ้อง แม้จะอยู่ในขั้นตอนที่ยังไม่มีการไต่สวนมูลฟ้องก็ตามก็อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะนำฟ้องมาฟ้องใหม่ไม่ได้เช่นกัน เพราะถือว่ามีการฟ้องคดีอาญาต่อศาลแล้ว ( ฎีกา.2927/2539 )
ในกรณีขอถอนฟ้องโดยอ้างเหตุว่า ฟ้องบกพร่อง ขอถอนเพื่อจะนำไปดำเนินคดีใหม่ ศาลอนุญาต ถือว่าเป็นการถอนฟ้องคดีอาญาให้เสร็จไปทั้งเรื่อง นำมาฟ้องใหม่อีกไม่ได้ ( ฎีกาที่ 924/30)
ตัวอย่างคำพิพากษาฎีกาที่เกี่ยวข้อง
คำพิพากษาฎีกาที่ 2614/2518 โจทก์จำเลยยื่นคำร้องขอทะเบียนสมรส และจำเลยให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จต่อนายทะเบียนสมรสว่า จำเลยยังไม่เคยสมรสมาก่อน ความจริงจำเลยเป็นคู่สมรสกับหญิงอื่นอยู่แล้ว ซึ่งโจทก์ไม่ทราบ นายทะเบียนสมรสจดทะเบียนสมรสให้เพราะเชื่อถ้อยคำของจำเลย ดังนี้ ผลจากการจดทะเบียนสมรสย่อมทำให้การสมรสนั้นสมบูรณ์ ทำให้โจทก์เปลี่ยนฐานะไปเป็นหญิงมีสามี การแจ้งข้อความอันเป็นเท็จของจำเลยจึงเกี่ยวกับฐานะบุคคลของโจทก์ที่ได้เปลี่ยนไปในขณะนั้น ถ้อยคำของจำเลยจึงกระทบกระเทือนถึงความเป็นอยู่ของโจทก์ด้วย การจดทะเบียนสมรสนั้นผิดเงื่อนไขแห่งการสมรส เป็นโมฆะ และฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1451 ถ้ามีบุคคลอ้างและศาลพิพากษาว่าการสมรสเป็นโมฆะ โจทก์อาจได้รับความเสียหายเพราะตกอยู่ในฐานะเป็นหญิงมีสามีไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเมื่อโจทก์ไม่มีส่วนร่วมในการกระทำผิดของจำเลย โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องจำเลยฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) , 28 (2)
คำพิพากษาฎีกาที่ 2853/2522 โจทก์จดทะเบียนสมรสกับจำเลย ต่อมาจำเลยแจ้งแก่ น. เจ้าพนักงานซึ่งมีหน้าที่จดทะเบียนสมรสว่า จำเลยไม่เคยจดทะเบียนสมรสมาก่อนเลยอันเป็นเท็จ เพราะจำเลยกับโจทก์ยังเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานได้จดทะเบียนสมรสให้จำเลยกับนางสาว ส. เห็นได้ว่า การกระทำของจำเลยกระทบกระเทือนถึงฐานะบุคคลของโจทก์ซึ่งเป็นภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายมีสิทธิรับมรดกอยู่ก่อนแต่คนเดียว โจทก์จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียและได้รับความเสียหายในกรณีที่เกิดขึ้นโดยตรงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) มีอำนาจฟ้องคดีฐานแจ้งความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 28 (2)
คำพิพากษาฎีกาที่ 1205/2542 แม้ตามสำเนาทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้านกับสำเนาทะเบียนนักเรียนระบุว่า ล. เป็นบิดาโจทก์ ทั้งปรากฏว่าโจทก์ไม่เคยใช้นามสกุลของผู้ตายก็ตาม แต่การที่ผู้ตายรับโจทก์มาอยู่กับผู้ตายที่บ้าน และจำเลยที่ 3 ระบุในบัญชีเครือญาติว่าโจทก์เป็นบุตรเจ้ามรดกต่างมารดา เท่ากับยอมรับว่าโจทก์เป็นบุตรของผู้ตาย เมื่อได้ความวาผู้ตายได้อุปการะเลี้ยงดูและให้โจทก์เรียนตัดเย็บเสื้อผ้า ทั้งผู้ตายยังเป็นเจ้าภาพแต่งงานให้โจทก์ด้วย พฤติการณ์ดังกล่าวที่ผู้ตายแสดงต่อโจทก์ให้เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าโจทก์เป็นบุตรนอกกฎหมาย ของผู้ตายที่ผู้ตายได้รับรองแล้ว โจทก์จึงเป็นผู้สืบสันดานเหมือนกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1627 โจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้องผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาลของผู้ตายได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) , 28 (2)
การร้องทุกข์โดยผู้เสียหาย
คำร้องทุกข์ : การที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ (ป.วิอาญา) ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้น จะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตาม ซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย และการกล่าวเช่นนั้น ได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ (ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(7))
ผู้มีอำนาจร้องทุกข์
ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 2 (4) และผู้แทนของผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 4 , 5 และ 6วิธีการร้องทุกข์
ผู้เสียหายร้องทุกข์ด้วยคนเอง
- ร้องทุกข์เป็นหนังสือต้องมี วัน เดือน ปี และปรากฏชื่อที่อยู่ของผู้ร้องทุกข์ ลักษณะแห่งความผิด พฤติการณ์ที่ความผิดนั้นได้กระทำลง ความเสียหายที่ได้รับ และชื่อหรือรูปพรรณของผู้กระทำผิดเท่าที่จะบอกได้ กับมีลายมือชื่อของผู้ร้องทุกข์ (ป.วิอาญา มาตรา 123 วรรคแรก)
- ร้องทุกข์ด้วยปาก ให้พนักงานสอบสวนบันทึกไว้ โดยลง วัน เดือน ปี และลงลายมือชื่อผู้บันทึกกับผู้ร้องทุกข์ในบันทึก (ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 123 วรรคสอง)
หากผู้เสียหายเป็นเด็กอายุไม่เกิน 18 ปี ให้ถือปฏิบัติตาม ป.วิ อาญา มาตรา 133 ทวิ
ผู้เสียหายมอบอำนาจให้ผู้อื่นร้องทุกข์
- ให้ผู้อื่นร้องทุกข์แทนก็ได้ แต่เอกสารมอบอำนาจจะต้องมีข้อความแน่ชัดว่ามาร้องทุกข์เรื่องอะไร และลงลายมือชื่อผู้มอบอำนาจหรือผู้เสียหาย และควรติดอากรแสตมป์ด้วย (ใบมอบอำนาจในคดีอาญา ไม่ติดอากรแสตมป์ก็ใช้ได้ ฎีกาที่ 3623/2537)
- ถ้าเป็นการร้องทุกข์ในกรณีนิติบุคคลเป็นผู้เสียหายจะต้องมีหนังสือมอบอำนาจจากนิติบุคคลนั้น ๆ โดยต้องมีหนังสือรับรองประกอบซึ่งจะระบุชื่อผู้มีอำนาจดำเนินการในนามนิติบุคคลโดยชัดแจ้ง แต่ถ้าผู้มีอำนาจของนิติบุคคลร้องทุกข์ด้วยตนเองถือว่าเป็นผู้เสียหายร้องทุกข์เองไม่ใช่การมอบอำนาจ
ผู้มีอำนาจรับคำร้องทุกข์
คำร้องทุกข์ต้องยื่นต่อ
พนักงานสอบสวน หรือ (ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 123)
เจ้าพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่ รอง หรือเหนือพนักงานสอบสวน หรือ (ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 124)
คณะกรรมการรับเรื่องราวร้องทุกข์
การแก้หรือถอนคำร้องทุกข์
ในคดีอาญาผู้ร้องทุกข์จะแก้หรือถอนคำร้องทุกข์เสียเมื่อใดก็ได้ในคดีซึ่งไม่ใช่ความผิดส่วนตัว การถอนคำร้องทุกข์เช่นนั้น ย่อมไม่ตัดอำนาจพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการที่จะฟ้องคดีนั้นต่อไป (ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 126)
ตัวอย่างคำพิพากษาฎีกาที่เกี่ยวข้อง
คำพิพากษาฎีกาที่ 784/2483 คดีอาญาแผ่นดินไม่มีกฎหมายบังคับว่าต้องมีผู้เสียหายร้องทุกข์จึงจะสอบสวนได้ แต่ถ้าเป็นความผิดต่อส่วนตัวแล้วจะต้องร้องทุกข์ก่อน จึงจะมีอำนาจสอบสวน
คำพิพากษาฎีกาที่ 206/2488 ผู้เสียหายร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน ต่อมาผู้เสียหายถึงแก่ความตาย ภริยาผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกมีอำนาจขอถอนคำร้องทุกข์ได้
คำพิพากษาฎีกาที่ 214/2494 ผู้เยาว์แม้อายุยังไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์ มีอายุเพียง 17 – 18 ปี แต่มีความรู้ความสามารถเพียงพอ ย่อมีอำนาจร้องทุกข์ได้
คำพิพากษาฎีกาที่ 968/2497, 117/2501 ความผิดตาม พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราผู้กู้ร้องทุกข์ได้ เพราะเป็นอาญาแผ่นดิน แต่ผู้กู้ฟ้องคดีเองมิได้ เพราะมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย
คำพิพากษาฎีกาที่ 87/2506 ผู้รับฝากเงินมีอำนาจเอาเงินที่รับฝากไปใช้จ่ายได้ และมีหน้าที่ต้องคืนเงินแก่ผู้ฝากให้ครบจำนวน การที่ผู้รับฝากจ่ายเงินให้จำเลยไปเพราะถูกฉ้อโกงต้องถือว่าผู้รับฝากเป็นผู้เสียหาย ผู้ฝากมิใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจร้องทุกข์
คำพิพากษาฎีกาที่ 1298/2510 คำร้องทุกข์ของผู้เสียหายได้ระบุชื่อ นาย ก. เป็นผู้กระทำผิดทั้งที่กระทำผิดครั้งนี้ที่ นาย ข.ร่วมกระทำด้วย แต่ผู้เสียหายมิได้ร้องทุกข์ระบุชื่อ นาย ข.ด้วย แสดงว่าผู้เสียหายไม่ประสงค์จะให้นาย ข. ได้รับโทษ ตาม ป.วิอาญา ม. 2 (7) (8), 123 พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอำนาจสอบสวนนาย ข
คำพิพากษาฎีกาที่ 2100/2497, 1641/2514 ผู้เยาว์ร้องทุกข์เองได้ และถอนคำร้องทุกข์เองก็ได้ เพราะถอนคำร้องทุกข์มิใช่การทำนิติกรรม
คำพิพากษาฎีกาที่ 2371/2522 คำร้องทุกข์ซึ่งผู้เสียหายแจ้งต่อพนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนยังไม่ได้ลงบันทึกประจำวันก็เป็นการร้องทุกข์โดยชอบแล้ว
คำพิพากษาฎีกาที่ 2782/2522 จำเลยเป็นตัวแทนของบริษัทประกันชีวิตรับเงินค่าสมัครเป็นสมาชิกสวัสดิการที่มีผู้ชำระเงินให้แก่บริษัท เป็นการทำการแทนบริษัทมิใช่ทำการแทนผู้ชำระเงิน จำเลยยักยอกเงินไป บริษัทเป็นผู้เสียหายมีอำนาจร้องทุกข์ได้ ส่วนผู้ชำระเงินมิใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจร้องทุกข์ได้
คำพิพากษาฎีกาที่ 1284/2514, 482/2523 ผู้เสียหายในคดีบุกรุกทำให้เสียทรัพย์ไม่จำต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้น ผู้ครอบครองดูแลรักษาทรัพย์ก็เป็นผู้เสียหายมีอำนาจร้องทุกข์ได้
คำพิพากษาฎีกาที่ 214/2524 ผู้เยาว์ร้องทุกข์ได้โดยชอบด้วยกฎหมาย บิดามารดาไม่มีอำนาจถอนคำร้องทุกข์ หากไม่ได้รับคำยินยอมจากผู้เยาว์
คำพิพากษาฎีกาที่ 2882/2527 บิดาของผู้เยาว์ซึ่งมิได้จดทะเบียนสมรสกับมารดาของผู้เยาว์ทั้งไม่ปรากฏว่าได้จดทะเบียนรับรองผู้เยาว์เป็นบุตร หรือมีคำพิพากษาว่าผู้เยาว์เป็นบุตร บิดาจึงไม่เป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์ ไม่มีอำนาจร้องทุกข์แทนผู้เยาว์ในคดีข่มขืนฯ ได้ จึงถือไม่ได้ว่าว่ามีคำร้องทุกข์ พนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจสอบสวนและอัยการไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลต้องยกฟ้อง
คำพิพากษาฎีกาที่ 5097/2531 ในคดีข้อหายักยอก ฉ้อโกง ผู้ครอบครองทรัพย์แม้มิใช่เจ้าของ ก็เป็นผู้เสียหายได้ สามารถแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนได้
คำพิพากษาฎีกาที่ 30/2543 จำนวนเงินในเช็คพิพาทได้รวมดอกเบี้ยเงินกู้ยืมในอัตราร้อยละ 10 ต่อเดือนเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งเป็นการต้องห้ามตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2475 มาตรา 3 (1) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 654 การที่ผู้เสียหายรับเช็คพิพาทจากจำเลยเพื่อชำระหนี้เงินกู้ยืมซึ่งมีดอกเบี้ยที่ผู้เสียหายคิดเกินอัตราตามกฎหมายรวมอยู่ด้วย ถือได้ว่าผู้เสียหายเป็นผู้กระทำผิดในส่วนของดอกเบี้ยที่ผู้เสียหายคิดเกินอัตราตามกฎหมาย ดังนั้น แม้ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาท ก็จะถือว่าผู้เสียหายเป็นผู้ทรงโดยชอบและเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) ไม่ได้ ผู้เสียหายจึงไม่มีอำนาจร้องทุกข์ตามมาตรา 3 (1) การสอบสวนของพนักงานสอบสวนจึงเป็นไปโดยไม่ชอบและโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยตามมาตรา 120, 121
หนังสืออธิบดีกรมอัยการ ที่ มท 1203/ว.77 ลง 26 ก.ย.2527 การทำหนังสือมอบอำนาจให้ร้องทุกข์ล่วงหน้าสามารถทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย



ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น